วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จากท้องทุ่งนา...สู่ป่าคอนกรีต



เรื่องราวตอนนี้หมอแบงค์สมัยเป็นEXTERN ได้ย้ายตัวเองจากท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ของ จ.พระนครศรีอยุธยา มาสู่สถานที่แห่งใหม่ซึ่งตรงกันข้ามกันราวฟ้ากับดิน สถานที่ฝึกแห่งใหม่นี้ก็คือโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครที่รายล้อมไปด้วยป่าคอนกรีต
            น้องๆและท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่าทำไมนักศึกษาแพทย์เวชปฏิบัติ(EXTERN) มศว ถึงได้ไปฝึกที่โน้นที ที่นี่ที ตกลงต้องไปฝึกที่ไหนกันบ้างสับสนไปหมดแล้ว(-_-?)  หมอแบงค์จะไขความกระจ่างให้ฟังเอง
           เนื่องด้วย การที่จะได้แพทย์จบใหม่ออกมาคนหนึ่ง การมีความรู้ที่ดีเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การที่เราจะได้แพทย์ที่ดีได้ต้องอาศัยหลายองค์ประกอบร่วมกัน
           อย่างที่หนึ่งคือ ความรู้
           อย่างที่สองคือ คุณธรรมและจรรยาบรรณ
           อย่างสุดท้ายคือ ประสบการณ์

           ความรู้นั้นอาจหาเองได้ จากการอ่านหรือจากการถามผู้รู้คืออาจารย์ แต่ประสบการณ์นี่สิเกิดจากการค่อยๆฝึกฝนและบ่มเพาะ เพราะฉะนั้นการจะให้นักศึกษาแพทย์มาอยู่รวมกัน กระจุกตัวในโรงพยาบาลแม่(โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ องค์รักษ์ จ.นครนายก)เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เหมาะนัก ทางคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงมีแผนการสอนที่ต้องมีการส่งนักศึกษาไปยังสถาบันฝึกสอนร่วมเพื่อเป็นการหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติม สถาบันเหล่านั้นได้แก่

         1.วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพและวชิรพยาบาล (วพบ.) ซึ่งสถาบันนี้ถือเป็นเครือญาติของ คณะแพทยศาสตร์ มศว เลยทีเดียว ย้อนไปในสมัยที่คณะแพทย์ มศว พึ่งก่อตั้งยังไม่มีโรงพยาบาลเป็นของตนเอง นักศึกษาแพทย์ที่จบมาล้วนผ่านการฝึกที่ โรงพยาบาลวชิรทั้งนั้น

         2.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (สถาบันฝึกสอนร่วมแห่งใหม่ล่าสุด)

         3.โรงพยาบาลประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นี่จะเน้นเรื่องการออกชุมชนและเรียนรู้เรื่องระบบการบริหารโรงพยาบาลเป็นหลัก

         4.โรงพยาบาลตำรวจ ที่นี้จะได้รับการฝึกในแผนกอายุรกรรม สูติกรรม และศัลยกรรมกระดูก รวมถึงได้รับการฝึกด้านนิติเวช

         5.โรงพยาบาลช่วงฝึกงาน(Elective) ช่วงนี้เองทางคณะแพทยศาสตร์ มศว ก็เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้สามารถไปฝึกงานที่โรงพยาบาลใดๆก็ได้ทั่วประเทศไทย หรืออยากจะไปเมืองนอกก็ได้สำหรับคนกระเป๋าตังหนัก โดยเงื่อนไขมีเพียงข้อเดียว...นั้นก็คือโรงพยาบาลนั้นต้องเต็มใจรับดูแล ซึ่งช่วงนี้เองหมอแบงค์ได้เลือกไปฝึกงานที่เชียงใหม่ อ่านได้จาก บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ตอน>>> "เดินทางลัดฟ้า.....สู่นครเชียงใหม่" <<<





         พอจะเห็นภาพการวนเพื่อฝึกงานของคณะแพทย์มศวแล้วใช่ไหมครับ กลับมาเข้าเรื่องตอนนี้กันต่อ

        โรงพยาบาลตำรวจเป็นหนึ่งในสถานที่ฝึกปฏิบัติงานของนิสิตแพทย์เวชปฏิบัติ หรือ EXTERN มศว ซึ่งในช่วงนั้นEXTERNแบงค์ก็ต้องมาฝึกปฏิบัติงานในภาควิชาสูตินรีเวชที่โรงพยาบาลกลางกรุงแห่งนี้ เรามาดูประวัติโรงพยาบาลนี้กันคร่าวๆกันเลย



        วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลตำรวจ คือ


   บริการประทับใจ   วิทยาการทันสมัย

       ปลอดภัยได้มาตราฐาน   เพื่อตำรวจและประชาชน

       โรงพยาบาลนี้เดิมทีเดียวเป็นโรงพยาบาล สำหรับรักษาหญิงโสเภณีที่หลังวัดพลับพลาไชย ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2440 หลังจากนั้น 1 ปี กิจการการแพทย์ตำรวจถึงเริ่มขึ้น โดยรัฐบาลมีนโยบายให้เปลี่ยนโรงพยาบาลแห่งนี้มาเป็นโรงพยาบาลตำรวจสำหรับพลตระเวน เพื่อรักษาตำรวจที่เจ็บป่วยพิสูจน์บาดแผลและชันสูตรพลิกศพ เพื่อประกอบการพิจารณาคดีต่างๆ เดิมทีเดียวนั้นโรงพยาบาลนั้นมีอาคารสำหรับตรวจรักษาผู้ป่วยเพียงไม่กี่ตึก แต่เมื่อเวลาผ่านไปขนาดของโรงพยาบาลก็เติบโต สามารถรองรับผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในปัจจุบัน
        
             มาอาศัยอยู่ที่นี่EXTERNแบงค์แทบจะปรับตัวไม่ทันเลยทีเดียว จะเห็นได้จากปัจจัยสี่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

        ปัจจัยที่หนึ่ง “อาหาร ที่นี่ไม่ขัดสนเหมือนโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาที่มีแต่โรตีสายไหมให้กินจนหน้าจะบานเป็นโรตีอยู่แล้ว อาหารการกินนั้นมีให้เลือกกินมากมาย เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ ไม่สิเรียกว่าเหลือล้นเลยดีกว่า  ด้วยเหตุที่ว่าแค่เดินไปฝั่งตรงข้ามก็เจอกับ Central World เดินไปข้างๆก็ Siam Paragon มาบุญครอง ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีปัญหาเรื่องความซ้ำซากของอาหารเหมือนอยุธยาที่กินร้านไหนก็กินอยู่แค่ร้านนั้น เนื่องจากรอบข้างไม่มีอะไรขายนอกจากโรตีสายไหม แต่อยู่ที่นี้กลับมีปัญหาใหม่เข้ามาแทนคือปัญหาค่าครองชีพ อาหารแต่ละมื้อที่กินนั้นราคากรุงเทพ แถมราคากรุงเทพแบบกลางเมืองสุดๆด้วย โดยอาหารแต่ละมื้อราคาเฉียดร้อย ยิ่งหากข้ามถนนไปกินฝั่ง Central World และ Siam Paragon ร้อยหนึ่งนี่เอาไม่อยู่หรอกครับ




      ปัจจัยที่สอง “เครื่องนุ่งห่ม ผู้คนที่นี่แต่งตัวแฟชั่น หลากหลาย Style เสื้อผ้าก็สีฉูดฉาดมีแทบกันทุกสี หนุ่มกางเกงขาเด๊ป เสื้อฮิบฮอป สาวใส่สายเดี่ยว เกาะอก สวมกระโปรงสั้นจนแทบจะเรียกว่าใส่แต่กางเกงในเลยไหมครับพี่ แบบนี้มีให้เห็นกันเกลื่อนกลาด ผิดกับอยุธยาที่ภาพเหล่านี้มีให้เห็นกันน้อยมาก

         ปัจจัยที่สาม “ที่อยู่อาศัย EXTERNแบงค์พักอาศัยอยู่ที่ชั้น 11 ของอาคารสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งหากมองลงไปจากความสูงระดับนี้ สามารถเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบของที่นี่ได้หมด อาคารนี้มีชื่อสวยหรูว่า อาคารบำบัดน้ำเสีย…???” อย่าเพึ่งงงกับชื่อครับ เนื่องจากมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว เพราะน้ำเสีย น้ำเน่าจากทุกอาคารในโรงพยาบาลตำรวจจะไหลมารวมเพื่อรอการบำบัดที่อาคารนี้ กลิ่นเวลาเดินอยู่ที่ชั้นหนึ่งแรงมากเลยทีเดียว โชคดีที่EXTERNแบงค์พักอยู่ชั้น 11 กลิ่นเลยลอยขึ้นไปไม่ถึง แต่ที่ตามไปถึงก็คือแมลงสาบเจออยู่แทบทุกวันจนแทบจะเป็นเพื่อนร่วมห้องอยู่แล้ว ยังดีที่ห้องพักที่นี่มีแอร์เย็นช่ำสบาย ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องเสีย และ Wireless ที่นี่แรงสุด(แรงแบบ irregular นะ แบบว่าผีเข้าผีออก บทจะเร็วก็เร็วโคตร บทจะช้าก็อย่างกับเต่า)

      ปัจจัยสุดท้าย “ยารักษาโรค อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากมาที่นี่ยังไม่เคยป่วย แต่ในโรงพยาบาลก็คงไม่ขัดสนเรื่องยาอยู่แล้ว แต่จากการที่ Round Ward มาหลายวันก็พบว่าโรงพยาบาลตำรวจเข้มงวดเรื่องสิทธิการรักษามาก ไม่รู้ว่าการเบิกจ่ายยาจะเหมือนศูนย์แพทย์หรือไม่

       มาฝึกครั้งนี้EXTERNแบงค์ได้ประสบการณ์เพิ่มหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำคลอด การตรวจผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเรา(เยอะมากครับที่นี่) ตอนหน้าเรามาคุยกันเรื่องเบ่งคลอดกันดีกว่า เจอกันนะครับ ^_^

                                                             เรื่องโดย ~หมูสนาม~
พี่หมอ
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา